Home  »  General Tips   »   ทำไม “ห้ามใช้ยางสลิค” ที่ไม่มีลายดอกยาง “ขี่บนถนนทั่วไป” ??

ทำไม “ห้ามใช้ยางสลิค” ที่ไม่มีลายดอกยาง “ขี่บนถนนทั่วไป” ??

หนึ่งในความเชื่อที่มีให้เห็นกันอยู่บ่อยครั้ง คือเมื่อคุณอยากได้ยางหนึบๆไว้ใช้งานสักชุดหนึ่ง คุณจึงหันไปเลือกยางสนามที่ใช้ในการแข่งขันมันซะเลย เพราะยังไงมันก็หนึบแน่นอน ใช่ไหม๊จ๊อดด!!

 

ซึ่งเรื่องนั้นก็ใช่ เพราะด้วยเนื้อคอมปาวน์ของยางสนาม ที่ถูกออกแบบมาให้นิ่มเป็นพิเศษ บวกกับโครงสร้างยางที่บาง และเบา จึงทำให้มันสามารถให้ตัว และกางเพื่อสร้างหน้าสัมผัสและแรงยึดเกาะกับผิวแทรคได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดแบบแตกต่างจากยางถนนทั่วไปกันอย่างลิบลับ และนั่นจึงทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้เลยว่าโอกาสที่คุณจะแหกโค้งไปเพราะยางลื่นนั้นมีน้อยมากๆขณะที่ใช้ยางแบบนี้อยู่…

 

แต่ทว่า… การออกแบบยางสนามส่วนใหญ่ โดยหลักแล้วมักถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานระยะสั้น และเน้นไปที่การเค้นสมรรถนะสูงสุดของรถในสนามอย่างเต็มที่ภายในกรอบระยะทาง และเงื่อนไขการใช้งานที่กำหนดอย่างชัดเจน จึงทำให้มันมักจะส่งผลเสีย และทำให้เกิดความเสี่ยงเมื่อนำมาใช้งานไม่ถูกจุดประสงค์อย่างที่มันควรจะเป็น นั่นก็คือตอนที่คุณนำมันมาใช้งานบนถนนสาธารณะนั้นแหละ

หากไม่นับกรณีคลาสสิค คือ เรื่องที่ยางสนามส่วนใหญ่มักมีดอกยางรีดน้ำน้อย หรืออย่าง Bridgestone Racing Battlax V02 ซึ่งเป็นยางสลิค สำหรับการแข่งขันเต็มรูปแบบ ที่ไม่มีดอกยางเลย จนมีโอกาสที่หากคุณขี่เผลอขี่ผ่านแอ่งน้ำด้วยความเร็วสูง และยางจะไม่สามารถรีดน้ำออกจากหน้ายางได้จนเกิด “อาการเหินน้ำ” แล้วเสียหลักพลาดล้มไป

 

สิ่งแรกที่เราจะอธิบายกันต่อ ก็คือเรื่องของคอมปาวน์ยางที่อาจจะดูเหมือนนิ่มตอนที่ใช้งานใหม่ๆ ช่วยให้มันสามารถสร้างแรงยึดเกาะกับผิวถนนได้ดี แต่ด้วยความที่ส่วนผสมของเนื้อยาง ไม่ได้มีสารประกอบที่ช่วยยืดอายุของเนื้อยางให้สามรถใช้งานได้ยาวนานหลายเดือน หลายปี หรือทนต่อสภาพอากาศที่แปรปรวน เดี๋ยวแดดออก เดี๋ยวฝนตก หรือมีความชื้นสะสมเยอะๆ

 

ทำให้เนื้อยางมีโอกาสที่จะเกิดการ “กรอบ” และหมดสภาพภายในระยะเวลาอันรวดเร็วกว่ายางที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานบนถนนจริงมากพอสมควร โดยเฉพาะกับ “ยางสนามมือสอง” ที่ยางเหล่านี้ยิ่งล้วนเคยผ่านทั้งการใช้งานหนักในสนามซี่งมีจังหวะที่ยางต้องสะสมอุณหภูมิในตัวไว้ค่อนข้างสูง หรือผ่านการถูกผ้าวอร์มยางอบความร้อนเป็นระยะเวลานานมากๆมาแล้ว

 

อีกทั้งยางสนาม หน้ายางและโครงสร้างจะถูกกระทำด้วยการขี่แบบ เบรกหนักทุกๆรอบ , เร่งออกจากโค้งอย่างรวดเร็ว , และสไลด์เข้าโค้งและออกจากโค้ง อีกด้วย จึงทำให้มันยิ่งก็มีโอกาสที่จะเกิดการกรอบเร็วขึ้นไปอีก

นอกจากนี้ ด้วยโครงสร้างที่บางและเบา เพื่อลดแรงต้านการหมุน ลดการกินแรงเครื่องยนต์ และยังมีเรื่องของแก้มยางที่ค่อนข้างอ่อน เพื่อให้หน้ายางด้านข้างสามารถกางสัมผัสพื้นได้ดี

 

เมื่อเราเอามาใช้งานบนถนนจริง หากยางต้องเจอกับเศษกระจก เศษหินบาด ไปจนถึงโดนน็อต ไม่ก็ตะปูตำ ด้วยโครงสร้างยางในลักษณะข้างต้น ก็จะทำให้มันไม่อาจจะทนกับสิ่งที่ต้องพบเจอได้ดีนักและมีโอกาสที่จะฉีกขาดได้ง่าย และไม่อาจรักษารูปร่างไว้ได้เมื่อไม่มีแรงดันลมอยู่ด้านใน

 

และในฝั่งตัวเนื้อยาง ที่กรอบได้ง่ายเอง หากเกิดการกระแทกขึ้นมา มันก็จะไม่สามารถสร้างความยืดหยุ่นเพื่อซับแรงกระแทก และรั้งตัวเองให้ยังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับโครงสร้างยางได้ หรือต่อให้เนื้อยางยังนิ่มอยู่ แต่ส่วนใหญ่ยางสนามก็ไม่ได้มีชั้นยางแข็งไว้คอยซับแรงและประสานเนื้อยางด้านนอกกับโครงสร้างยางที่หนามากนักอยู่ดี

 

ส่งผลให้เนื้อยางมีโอกาสที่จะแยกตัวจากชั้นโครงสร้างยาง แล้วเกิดฟองอากาศภายใน ซึ่งเมื่อมีความร้อนเกิดขึ้น อากาศระหว่างเนื้อยางกับชั้นโครงสร้างก็จะขยายตัว จนทำให้ยางบวม และที่ร้ายแรงยิ่งกว่า คือเกิดการระเบิดตามมา

โดยหากเราลองมองกลับกัน ไปที่ยางซึ่งออกแบบมาเพื่อการใช้งานบนถนนจริงๆ แล้วเผื่อซิ่งบนถนนอีกพอประมาณอย่าง Bridgestone Battlax Hypersport S23 เราก็จะพบว่ามันได้ถูกสร้างขึ้นโดยมีองค์ประกอบหลายๆอย่าง ที่บ่งบอกว่ามันสามารถรองรับการใช้งานบนถนนได้อย่างดีและยังมีองค์ประกอบอีก ที่ช่วยให้คุณสามารถเล่นโค้งได้อย่างมั่นใจในเวลาเดียวกัน

 

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ตัวโครงสร้างยาง ที่จะประกอบไปด้วยโครงขดลวดเทคโนโลยี “MS Belt” ที่ช่วยให้โครงยางมีความแข็งแรง แถมยังถูกหุ้มด้วยยางฉนวนกันความร้อนและความชื้น เทคโนโลยี “HTSPC” ทำให้ยางสามารถรักษาอุณภูมิได้ดี ซึ่งมีโอกาสระเบิดได้ยากถึงยากมากๆ

นอกจากนี้ด้วยความที่เนื้อยาง “แบทแลค ไฮเปอร์สปอร์ต S23” ถูกออกแบบให้มีส่วนผสมของสสารจำพวกซิลิก้า ที่มากกว่ายางสนามหลายเท่า ด้วยชื่อเทคโนโลยี “Silica Rich EX” จึงทำให้ยางสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศที่แปรปรวน หรือเปลี่ยนไปมาตลอดอายุการใช้งานที่นานนับปีบนถนนทางเรียบทั่วไปได้สบายๆ

 

รวมทั้งเทคโนโลยี่ “Pluse Groove” คือ ลายยางแบบตรง ช่วยให้การรีดน้ำบริเวณตรงกลางของร่องยางรีดน้ำออกจากหน้ายางได้เร็วขึ้น ซึ่งการใช้ยางแบบสลิคไม่สามารถทำได้เพราะไม่มีร่องยางนั้นเอง จึงไม่เหมาะสมกับการใช้บนถนนทั่วไป

Compound Type Bridgestone-1

แตกต่างจากยางสนาม ที่อาจจะแทบไม่มีการใส่สสารจำพวกซิลิก้านี้ลงไปเลย เพื่อให้ยางสามารถเน้นการสร้างแรงยึดเกาะกับผิวถนนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ต้องแลกกับการที่ยางอาจจะเปราะบางกับสภาพแวดล้อมต่างๆได้ง่ายหากไม่ได้ถูกเก็บสภาพไว้อย่างเหมาะสม

 

โดยเรื่องนี้ ตัวผู้เขียนเองก็เคยมีประสบการณ์ตรงมาแล้ว กับยางสนามที่เคยถูกใช้งานมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ถูกนำไปเก็บไว้บนเชลฟ์วางของคู่กับยางถนนใช้แล้วเช่นกัน

 

สิ่งที่พบก็คือ เมื่อผ่านเวลาไป 2 ปี (เก็บจนลืม) ยางสนามกลับมีอาการขอบแตก ทะลุ และหน้ายางก็มีรอยปริเป็นทางอย่างชัดเจน ขณะที่ยางถนน กลับมีแค่อาการแตกลายงานิดหน่อยเท่านั้น โดยที่โครงสร้างยางก็ไม่ได้มีความเสียหายใดๆมากนัก และยังสามารถนำมาใช้เป็นยางสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉินช่วงที่ต้องการหายางใหม่มาเปลี่ยนได้อยู่

ส่วนใครที่ยังคงสงสัยว่า แล้วยางถนนจะสามารถให้การยึดเกาะที่ดีเทียบเท่ากับยางสนามได้หรือ ?

 

คำตอบก็คือ ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ! แต่…

 

หากยางถนนที่คุณเลือก คือยางสปอร์ตถนนระดับสูง คุณก็ต้องไม่ลืมว่ายางในระดับนี้ มักถูกออกแบบให้เนื้อยางของมันมีหลากหลายระดับความนุ่ม เช่น ยาง Battlax Hypersport S23 ที่หากเป็นยางด้านหน้า ก็จะได้เทคโนโลยี “3LC” หรือ เนื้อยาง 3 เลเยอร์ แบ่งเป็น

  • ยางมีเดียมคอมปาวน์ ตรงกลาง 1 เลเยอร์
  • ยางซอฟท์คอมปาวน์ ด้านข้างซ้าย-ขวา อีก 2 เลเยอร์

 

ส่วนยางหลังก็จะยิ่งใช้เทคโนโลยี “5LC” ซึ่งมีการไล่ระดับคอมปาวน์ยางถึง 5 เลเยอร์ แบ่งเป็น

  • ฮาร์ดคอมปาวน์ตรงกลางหน้ายาง 1 เลเยอร์ เพื่อความคงทนในการวิ่งบนทางตรง
  • มีเดียมคอมปาวน์ ขนาบข้างซ้ายขวา อีก 2 เลเยอร์ เพื่อความสามารถในการยึดเกาะขณะเอียงรถที่มากขึ้น
  • และซอฟท์คอมปาวน์ ทางด้านซ้ายสุดและขวาสุดของหน้ายาง เพื่อการยึดเกาะสูงสุดขณะที่ผู้ขี่กำลังเอียงรถเข้าโค้ง และกดคันเร่งออกจากโค้ง

 

และด้วยการออกแบบคอมพาวน์ยางหลายเลเยอร์ในลักษณะนี้ จึงทำให้แม้จะเป็นยางถนน แต่เราก็สามารถนำมันไปหวดในสนามได้ด้วย แค่อาจจะต้องมี “ทริค” ในการขี่และปรับตัวเล็กน้อย โดยเวลาต่อรอบทำได้ อาจจะห่างจากตอนที่เราใส่ยางสนามเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ขึ้นอยู่กับทักษะและความสามารถของตัวคุณเองด้วยเหมือนกัน

สุดท้ายนี้ เราก็ต้องขอย้ำกันอีกทีว่า เราไม่แนะนำให้คุณนำยางสนามมาใช้บนถนน แม้ว่ามันจะสามารถสร้างความมั่นใจในการยึดเกาะกับผิวถนนได้เป็นอย่างดีตั้งแต่ตอนแรกใส่แบบต่างกันจากยางถนนทั่วๆไปอย่างลิบลับ

 

เพราะสิ่งที่คุณต้องแลกกลับมา ก็คือความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุที่อาจร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เนื่องจากท้ายที่สุดแล้ว ยางสนามเหล่านั้น ก็เปราะบางเกินไปที่จะเจอกับสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของเมืองไทย รวมทั้งสภาวะที่แปรเปลี่ยน เช่น อากาศร้อน-เย็น ฝนตกมาก-น้อย และอุณหภูมิที่ต่ำในหน้าหนาวอีกด้วย

 

ทั้งนี้ หากใครเก๋าพอจะระวังตัวเองได้ และยืนยันจะใช้ยางสนามบนถนนต่อไป เราก็ยอมรับในการตัดสินใจของคุณ แต่จะดีกว่าไหม หากคุณไม่ต้องขี่รถไปพะวงไป แล้วเลือกไปใช้ยางที่เกิดมาเพื่อการใช้งานบนถนนอย่างแท้จริง ซึ่งทำให้คุณสบายใจ และปลอดภัยในการใช้งานมากกว่า

 

โดยสำหรับใครที่อยากลองสัมผัสกับยาง Bridgestone Battlax Hypersport S23 ก็สามารถสอบถามข้อมูลยางรุ่นนี้ หรือยางรุ่นอื่นๆที่น่าสนใจไม่แพ้กัน กับทางตัวแทนจำหน่ายยาง Bridgestone ที่มีครอบคลุมทั่วประเทศอีกด้วยได้ที่นี่ และยังสามารถติดตามข่าวสารโปรโมชั่นเด็ดๆ ได้ที่ Official Facebook Fanpage ของ Bridgestone Moto Thailand

อ่านข่าว General Tips เพิ่มที่นี่

อ่านข่าว Bridgestone เพิ่มที่นี่


 

เรื่องราว ข่าวสองล้อที่สาวกไบค์เกอร์ต้องรู้ที่

Website : motowish.com 

Facebook : facebook.com/motowish



ห้ามคัดลอกบทความหรือเนื้อหาในเว็บ Motowish