Home  »  Reviews   »   รีวิว Honda Forza 750 ลุยฝ่าลมหนาวทะลุภูเขาที่ ประเทศอิตาลี

รีวิว Honda Forza 750 ลุยฝ่าลมหนาวทะลุภูเขาที่ ประเทศอิตาลี

รถบิ๊กสกู๊ตเตอร์พรีเมี่ยมที่เป็น ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ในเวลานี้ รถที่เป็นกระแสโซเชี่ยลมากที่สุด!! ด้วยตัวเลขที่พิสูจน์ได้ถึงการพูดถึงมากที่สุด!!!

 

เปิดตัวกันไปเนิ่นนานในทวีปยุโรป ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2020 หรือเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา สำหรับ Honda Forza 750 สกู๊ตเตอร์ขนาดใหญ่ของค่ายที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ต่างๆ แบบจัดเต็ม

 

ด้านตัวรถเรียกว่าเป็นพี่ใหญ่ที่เสริมความแข็งแกร่ง และความสปอร์ตสุดในรุ่น ที่สำคัญ Honda Forza 750 ยังคว้ารางวัล Red Dot Design Award ประจำปี 2021 เป็นการันตีด้านการออกแบบมาครองเรียบร้อยแล้ว

 

แต่ต้องบอกว่าสำหรับรางวัล Red Dot Design Award ไม่ใช่เรื่องใหม่ของฮอนด้า เพราะก่อนหน้านี้ ซูเปอร์ไบค์เรือธงอย่าง CBR1000RR-R SP ก็ได้รับรางวัลนี้แล้วเช่นกัน ซึ่งรางวัลดังกล่าว คือ รางวัลด้านการออกแบบระดับนานาชาติ สำหรับผลิตภัณฑ์และอุตสาหกรรม โดยรางวัลนี้ได้เชิญคณะกรรมการจาก 10 ประเทศทั่วโลก มาทำการตัดสินรางวัลซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี

เมื่อมีข่าวว่าทาง บจ.ไทยฮอนด้า จะนำรถ Honda Forza 750 สกู๊ตเตอร์สายสปอร์ตเครื่องยนต์บิ๊กบล็อคเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย รถที่สายทัวริ่งต่างรอคอย ลองดูยอดคนกดไลค์ ยอดคนแสดงความคิดเห็น และยอดแชร์ถล่มทลายแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆในเพจ “โมโตวิช”

สำหรับในครั้งนี้ต้องขอกล่าวก่อนว่า ไม่ได้เป็นการทดสอบอย่างเป็นทางการจาก บจ.ไทยฮอนด้า แต่เป็นช่วงที่ทีมสื่อมวลชนเดินทางไปงาน EICMA SHOW 2023 ซึ่งเป็นงานแสดงรถจักรยานยนต์ทางฝั่งยุโรปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่แค่ไหนลองนึกภาพตามว่าใหญ่กว่างาน Motorshow บ้านเราประมาณ 3-4 เท่า คือมีแต่รถจักรยานยนต์และของแต่งที่เกี่ยวข้องล้วนๆ ไม่มีรถยนต์ร่วมเลยนะ

รูปทรงภายนอก

 

สำหรับใครที่ไม่ทันโพสต์ที่เทสไรเดอร์ได้ถ่ายคู่กับรถ Honda Forza 750 ลองมาดูรูปทรงภายนอกกันคร่าวๆก่อน ครั้งแรกที่เห็นก็เรียกได้ว่า “สวยเฉียบสะดุดตา” ทีเดียว รูปทรงโดยรวมดูสปอร์ตอลังการงานสร้างมาก จะเรียกว่า “ยานแม่” สายสกู๊ตเตอร์ก็คงไม่ผิด

รูปที่ถ่ายมานี้จะเป็นรถที่โชว์ในงาน EICMA SHOW 2023 ล่าสุด!!

 

มีหลายคนบอกว่ามันคือ X-ADV 750 เปลี่ยนเปลือก!!  จะพูดแบบนั้นก็คงไม่ผิด…แต่ก็ไม่ถูกซะทีเดียว คือพื้นฐานเครื่องยนต์และอุปกรณ์หลักๆนั้นใช้ร่วมกัน แต่จะต่างกันเรื่องออฟชั่น โพซิชั่นท่านั่งในการขี่ และก็ดีเทลปลีกย่อยเล็กน้อย…

 

ฟีเจอร์และเทคโนโลยีที่ใส่มากับ Honda Forza 750 มากมายไม่ว่าจะเป็น จอแสดงผลสี TFT ขนาด 5 นิ้ว เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ , ระบบ Honda Selectable Torque Control (HSTC) เพื่อการยึดเกาะที่ดีขึ้น สามารถปรับได้ 3 ระดับ

 

โหมดการขับขี่ มีถึง 4 โหมด 

  • โหมด Standard เครื่องยนต์ออกแบบมาให้สร้างความสมดุลในเรื่องการส่งกำลังของเครื่องยนต์ และระบบเบรกให้อัตโนมัติ เหมาะกับการขับขี่ทั่วไป
  • โหมด Sport เครื่องยนต์ออกแบบให้ตอบสนองไว พร้อมระบบเบรกที่ตอบสนองการทำงานได้ดีขึ้น
  • โหมด Rain เหมาะกับการขับขี่ในสภาพถนนเปียก หรือฝนตก โดยเครื่องยนต์ปรับกำลังระบบ HSTC และระบบเบรก (ABS) ให้เหมาะสมกับสภาพถนนที่เปียกลื่น
  • โหมด User ที่ผู้ขับขี่สามารถปรับกำหนดเองได้ทั้ง ระบบเบรก ระบบส่งกำลัง และ HSTC อยากจะปรับตั้งค่าอะไร ก็แล้วแต่ผู้ขับขี่อยากจะปรับแต่งเอง

 

สวิทช์ฝั่งซ้าย : Mode , Fn , ไฟเลี้ยว , แตร , ไฟฉุกเฉิน , ปุ่มปรับ 4 ทิศทาง , สวิตซ์เปลี่ยนเกียร์ (+) (-)

 

สวิทช์ฝั่งขวา : Start / Stop , เกียร์ N , เกียร์ D , เลือกระบบเกียร์แบบ Auto / Manual

 

  • ที่เห็นเป็นแท่งๆก้านสีดำ อยู่ด้านหน้าปั้มเบรกฝั่งขวา คือ เบรกมือนั้นเอง
  • ชุดสวิทช์ หน้าตาและรูปแบบเหมือนกับรุ่น X-ADV 750
  • ก้านเบรคสามารถปรับระดับได้
  • สวิทช์สตาร์ทอยู่ตรงกลางคอนโซล และมีปุ่มกดด้านล่าง
  • ปุ่มกดด้านล่างซ้าย คือ FUEL เปิดฝาเติมน้ำมัน
  • ปุ่มกดด้านล่างขวา คือ SEAT เปิดเบาะนั่ง
  • (แค่พกรีโมทติดตัวไว้ใกล้รถ ก็สามารถกดเปิดได้เลย)

 

มาถึงชุดเฟรมที่ให้มาเป็นโครงเหล็ก พร้อมระบบกันสะเทือนโช้คอัพหน้าหัวกลับจาก SHOWA เส้นผ่าศูนย์กลาง 41 มิลลิเมตร (Forza 350 ขนาด 350 มม.) มีระยะยุบที่ 120 มิลลิเมตร ด้านโช้คอัพหลังเป็น Monoshock Pro-Link สวิงอาร์มอลูมิเนียม

 

  • ในรูปคันหน้าคือ Forza 750 ส่วนคันด้านหลังคือ X-ADV 750 คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันนะ!!

 

ระบบเบรกเป็นดิสก์แบรกคู่ขนาด 310 มิลลิเมตร เรเดียลเมาท์ คาลิปเปอร์ 4 ลูกสูบ Nissin พร้อมระบบ ABS แบบ 2-channel ทั้งหน้าและหลัง เบรกหลังจานดิสก์เดี่ยวขนาด 240 มิลลิเมตร โฟลทติ้งเมาท์คาลิปเปอร์ 1 ลูกสูบ ส่วนล้อ เป็นล้ออัลลอยด์

 

ยางติดรถยี่ห้อ Bridgestone รุ่น Battlax Sport Touring T31 ยางหน้าขนาด 120/70R/17 M/C 58H ยางหลังขนาด 160/60R/15 M/C 67H แบบ Tubeless Radial

 

เครื่องยนต์ของมีขนาด 745 ซีซี 2 สูง SOHC พละกำลัง 57.7 แรงม้าที่ 6,750 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 69 นิวตันเมตรที่ 4,750 รอบต่อนาที ด้านเรดไลน์อยู่ที่ 7,000 รอบต่อนาที ขับเครื่องยนต์ด้วยระบบคันเร่งไฟฟ้า Throttle By Wire  และแน่นอนผ่านมาตรฐานยูโร 5 ตามมาตรฐาน

 

ที่เก็บของขนาด 22 ลิตร

 

ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ “โซ่” ซึ่งหลายคนสงสัยกันมากว่าใช้แบบไหนกันแน่!! มีตัวครอบโซ่มาให้เสร็จสรรพ ของแต่งไม่ต้องทำขายกัน

 

แน่นอนว่าความโดดเด่นของค่ายปีกนกคือ ระบบเกียร์แบบ DCT 6 สปีด แบบอัตโนมัติ ที่ใส่มาให้พร้อมใช้งานแบบลื่นไหล และคล่องตัว และยังสนุกกับการชิพเปลี่ยนเกียร์เองได้ สำหรับความจุถังน้ำมันอยู่ 13.2 ลิตร ซึ่งฮอนด้าเคลมอัตราประหยัดน้ำมันในสเป็คชีทอยู่ที่ 27.78 กิโลเมตรต่อลิตร เรียกว่าประหยัดมากๆ ตามคอนเซ็ปต์ของค่ายเขาเลยทีเดียว

 

 

อย่างที่บอกไปว่าครั้งนี้ไม่ได้เป็นการทดสอบอย่างเป็นทางการ แต่เป็นการขี่รถท่องเที่ยวในประเทศอิตาลี ช่วงเสร็จภาระกิจจากงาน EICMA SHOW 2023

 

ที่เห็นอยู่นี้คือ ศูนย์บริการของฮอนด้า ชื่อเต็มๆว่า HONDA – Honda Point Service | Concessionario moto Honda | Centro Assistenza e Ricambi – Noleggi เอิ่มมม…ชื่อเต็มจริงๆ

 

โดยศูนย์บริการแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มีบริการรถเช่ารวมทั้งมาแชลไว้นำทางอีกด้วย เผื่อใครอยากมาลอกการบ้านที่อิตาลี ก็แวะมาลองดูได้นะเทสไรเดอร์รับประกันว่า บรรยากาศและวิวสุดยอดมากๆๆๆ ส่วนเรื่องราคาค่าใช้จ่ายต้องลองเช็คกันเอาเองว่าเท่าไร เพราะแต่ละรุ่นก็ราคาไม่เท่ากัน

 

Honda Forza 750 คันที่จะได้ขี่ในทริปนี้ กับสภาพรถครั้งแรกที่ได้พบเจอ ใส่ท่อไอเสียแต่งของ SC Project ปลายคาร์บอนมาด้วย ได้ลองสตาร์ทเทสเสียงฟังดูทุ้มๆนุ่มๆเพราะดี

เนื่องจากอุณหภูมิในวั้นนั้น (9 พ.ย.2023) ประมาณ 5-9 องศา และพยากรณ์อากาศบอกว่าจะมีฝนตกปรอยๆประมาณ 60-70% สภาพรถจึงเป็นอย่างที่เห็นในรูป!! บันเทิงแน่ทริปนี้…

สำหรับทริปนี้เรียกได้ว่ารวมบรรดา สื่อมวลชน อินฟลูเอนเซอร์ ยูทูปเบอร์ ระดับหัวแถวของประเทศไทยมาเต็มพิกัด ช่วงแรกที่ออกเดินทางจาก Honda Point Service เราใช้เส้นทางไฮเวย์วิ่งรวมกับรถยนต์ได้เลย

 

จากถนนหลักเราตัดเข้าสู่อีกเส้นทางเพื่อข้ามภูเขา

ฝนตกสลับหยุดเป็นช่วงๆ ขี่เป็นขบวนยืนพื้นความเร็วกัน 80-120 กม./ชม. ระยะทางที่ขี่โดยรวมทั้งทริปจะอยู่ที่ประมาณ 200 กิโลเมตร ซึ่งรถ Forza 750 นั้นผลัดเปลี่ยนกันขี่ประมาณ 4 คน ซึ่งเทสไรเดอร์ก็เป็น 1 ในนั้น

 

ช่วงแรกเทสไรเดอร์ขี่เจ้า Africa Twin DCT ไปยาวๆก่อนยังไม่ถึงคิวได้ขี่

 

ที่ประเทศอิตาลีจะขี่รถแบบ “ชิดขวา” แรกๆก็จะงงหน่อยแต่สักพักก็ปรับตัวได้ ตอนขี่คิดในใจอย่างเดียวว่า “แซงขวา” อารมณ์ก็จะเหมือนขี่ “ชิดขวา” ไปโดยปริยาย 555+

ตอนนี้ก็มาถึงจุดพักแรกเพื่อแวะพักกินกาแฟและเปลี่ยนมือให้คนต่อไป ถ่ายรูปมุมนี้มาฝากเพื่อนๆ เปรียบเทียบให้เห็นกันชัดๆว่าระหว่าง Forza750 vs X-ADV750 ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่ารูปทรงและรายละเอียดแตกต่างกันพอสมควร

สำหรับใครที่กำลังจะขยับขึ้นมาจากรุ่น Forza 350 ลองมาดูตัวเลขมิติตัวรถเปรียบเทียบกันดีกว่า

 

                                X-ADV 750      vs       Forza 750         vs       Forza 350    

มิติตัวรถ

(กxยxส)       940 x 2,200 x 1,475   790 x 2,200 x 1,485     754 x 2,147 x 1,507

ความสูงถึงเบาะ           790                                790                             780

ระยะฐานล้อ                1,580                             1,580                          1,510

น้ำหนัก                        236                               235                              187

ถนนแอสฟัลท์ที่ประเทศอิตาลีทางสายหลักเรียบเนียนพอสมควร แต่ที่นี้จำกัดความเร็วตาม “ป้ายเตือนความเร็ว” ไม่มีตำรวจมาสิงอยู่ตามเสาไฟฟ้าหรือต้นไม้ข้างทางให้ตกใจ แต่มี “ใบสั่ง” ส่งถึงบ้านถ้าคุณ “ขับรถเร็วเกินกำหนด” หากคุณเผลอใจไปกับความเย้ายวนของถนนหนทางที่นี้

 

เสียดายวันที่ขี่รถท้องฟ้าไม่มีแดด ฟิลแบบสลัวๆอารมณ์เหมือนหนังแวมไพร์ แต่บรรยากาศสองข้างทางนี้ “สวยประทับใจ” มากๆ

รถในทริปนี้มีด้วยกันหลายรุ่นให้ได้ทดสอบกัน ไม่ว่าจะเป็น New XL750 Transalp , Africa Twin , NT1100 , CB750 Hornet , Forza750 , X-ADV750

 

มุมนี้วิวสวยจริงๆขอแอคชั่นสัก 1 รูป แต่เดี๊ยวก่อนน๊ะยังไม่ถึงคิวได้ขี่!! 555+ รอสลับที่จุดแวะต่อไปอีกครั้ง.. ความสูงจากพื้นถึงเบาะนั่งระยะ 790 มิลลิเมตร เทสไรเดอร์สูง 170 ซม. เหยียบพิ้นได้เกือบเต็มฝ่าเท้า

 

โอกาสมาแล้ว..TEST TEST

และแล้วก็ถึงคิวได้ขี่เจ้า Forza 750 ในช่วงทางขึ้นเขา-ลงเขา สภาพอากาศแบบฝนตกปรอยๆตลอดทั้งเส้นทาง อุณภูมิยังคงเลขตัวเดียวอยู่เหมือนเดิม

 

ดูจากแผนที่เราจะเห็นได้ว่าเส้นทางที่เหลือนั้น ผ่านภูเขาหลายๆๆๆลูกเลย ถนนสองเลนค่อนข้างแคบ ถนนมีทั้งช่วงที่เรียบและก็ขรุขระอยู่บ้าง กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากความเร็วที่มาแชลนำทางนั้น “เน้นความปลอดภัย” เป็นหลักเพราะฝนตกถนนลื่นด้วย

ถึงเวลาในการสลับเปลี่ยนคนขี่ช่วงติดไฟแดง (เสาไฟด้านซ้ายมือของรูปภาพ) ระหว่างที่มีการก่อสร้างทำถนนเพียงแค่ 2 นาที รวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัวเลยเลือกปรับไปที่ Mode Rain ก่อนเพื่อลองทำความคุ้นเคยกับรถในช่วงแรก

การตอบสนองของเครื่องยนต์

ช่วงที่ ได้ขี่จะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ ตอนที่อยู่บนเขา และ ตอนที่อยู่บนทางราบระหว่างในเมือง ว่ากันที่ภาพรวมของกำลังเครื่องยนต์ Forza 750 ให้แรงบิดได้ดีตั้งแต่รอบต่ำๆจนถึงเรดไลน์ ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกใช้โหมดการขับขี่แบบไหน ข่วงขี่ไต่ระดับทางชันขึ้นเขาตอนฝนตก ถ้าใช้โหมด Rain พละกำลังของเครื่องยนต์จะมาไม่เต็มร้อย ก็อาจจะช้าไปบ้างในบางจังหวะ แต่ถ้าเลือกระบบเกียร์เป็น Manual ก็จะชดเชยในส่วนนี้ได้ ลากรอบไปได้ตามต้องการ

 

จังหวะพอมีทางตรงยาวๆให้ได้ลองหวดดูบ้าง แต่ก็ไม่สามารถลองท็อปสปีดได้เพราะข้อจำกัดหลายๆอย่าง เปลี่ยนโหมดเป็น USER ลองกดเต็มคันเร่งช่วงเกียร์ 2 3 4 แรงบิดจากเครื่องยนต์ดึงเอาเรื่อง!! แรงขนาดนี้เกินพอสำหรับสายออกทริปทางดำแน่นอน!!

 

เรื่องของระบบ Dual Clutch ถือว่าตอบสนองได้ฉับไวเปลี่ยนเกียร์ได้รวดเร็วทันใจ

ช่วงผ่านอุโมงค์ที่เจาะทะลุภูเขา เทสไรเดอร์ก็ลองกดเต็มคันเร่งอีกครั้ง เพื่อทดสอบเสียงท่อแต่งของ SC Project Carbon เสียงดังทุ้มๆสไตล์คาร์บอน เสียงเพราะเหมือนเครื่องยนต์แบบ 1000 cc. เลย

ระบบอิเล็กทรอนิกส์ 

เวลาที่เราเลือกโหมดการขับขี่ทั้ง 4 โหมดนี้ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ของ Forza 750 จะสัมพันธ์กับเรื่องของระบบเกียร์ DCT เหมือนกับรุ่น X-ADV 750

 

Mode : Standard โหมดสำหรับการขับขี่แบบปกติทั่วไป มีจุดเด่นคือการปรับความสมดุลทั้งการส่งกำลังของเครื่องยนต์ และเอ็นจิ้นเบรกให้อัตโนมัติ ใช้ในการขับขี่ทั่วไปได้อย่างง่ายดาย

 

Mode : Sport โหมดพร้อมซิ่ง จุดเด่นของโหมดนี้อยู่ที่แรงบิด และการส่งกำลังที่ไว ช่วยให้อัตราการเร่งตอบสนองแบบรวดเร็วทันใจ

 

Mode : Rain โหมดขับขี่ในสภาวะฝนตกถนนเปียก จุดเด่นคือ การลดกำลังของเครื่องยนต์ และปรับระบบเบรกให้เหมาะสม พร้อมทั้งปรับระบบแทรคชั่นไม่ให้เกิดอาการล้อหลังสไลด์

 

Mode : User โหมดสำหรับคนที่ต้องการอะไรที่เป็น “แบบฉบับของตัวเอง” ปรับตามใจไปเลยย!!

ระบบ Honda Selectable Torque Control (HSTC) แทรคชั่นคอนโทรลของ Forza 750 กับสภาพถนนเปียกๆแบบนี้ตลอดทาง ช่วงเข้าโค้งขึ้นเขา-ลงเขา บางจังหวะเปิดคันเร่งแรงไปหน่อย ทำให้มีอาการล้อหลังสไลด์แทรคชั่นก็ทำงานแก้อาการได้อย่างรวดเร็ว

 

โดยรวมของระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการขับขี่กับสภาพถนนหลายหลายรูปแบบ ถือว่าอยู่ใน  “ระดับไว้ใจได้” เพียงแต่เลือกใช้ให้เหมาะสมเท่านั้น ท่าจะให้ดีควรมีออฟชั่น “Heated Grip” เพิ่มเข้ามาด้วยจะดีมากๆ เวลาขี่ช่วงหน้าหนาวอุณหภูมิเลขตัวเดียวแบบนี้เจออาการ “มือแข็ง” แน่นอน

การคอนโทรล

ความรู้สึกของคันเร่งไฟฟ้านั้นให้ความรู้สีกระดับกลางๆ คือให้ฟิลลิ่งเหมือนคันเร่งแบบสาย ต้องออกแรงบิดนิดนึง ไม่ได้เบาหวิวเหมือนคันเร่งไฟฟ้ารุ่นที่ให้ความรู้สึกเบามากๆ จุดนี้ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน

 

โพซิชั่นท่านั่งอย่างที่เห็นในรูป เทสไรเดอร์สูง 170 ซม. น้ำหนัก 62 กิโลกรัม เบาะนั่งหนานุ่มพอดีกว้างโอบกระชับบล็อคก้น ท่านั่งขี่แบบหลังตรง ช่วงขายืดวางเท้าได้แบบสบายๆ

 

การวางมือบังคับรถค่อนข้างกว้างเล็กน้อย (แต่แคบกว่ารุ่น X-ADV 750) ก็เป็นข้อดีเผื่อเวลามีคนซ้อน รถบางรุ่นพอเวลาหักเลี้ยวสุด ข้อศอกคนขี่ชอบชนขาคนซ้อนซะงั้น

 

เนื่องจากสภาพอากาศและถนนที่เปียก ทำให้ไม่ได้ใช้ความเร็วมากนัก การขี่จึงทำได้เพียงระดับนึงเท่านั้น ด้วยน้ำหนักตัวรถที่ 235 กิโลกรัม ความรู้สึกในการคอนโทรลรถเข้าโค้ง หรือจังหวะช่วงผลิกรถผ่านโค้งต่อเนื่องซ้ายขวาๆไปเรื่อยๆ จะรู้สึกได้ว่า น้ำหนักรถจะอยู่ที่ระหว่างขาไปทางด้านหน้าเล็กน้อย

 

จังหวะในการเข้าโค้งแคบๆที่ความเร็วต่ำ ต้องใช้เทคนิคการขี่แบบ “Counter Steering” หักแฮนด์สวนทางและเดินคันเร่งเล็กน้อย จะทำให้การคอนโทรลรถนั้นง่ายขึ้น และออกจากโค้งได้เร็วขึ้น ทำได้ทั้งช่วงลงเขาและขึ้นเขาทางชัน

 

ด้วยระยะฐานล้อที่ยาวกว่า Forza 350 และน้ำหนักที่มากกว่า ช่วงผลิกรถเข้าโค้งแคบๆก็จะรู้สึกช้ากว่าเล็กน้อย แต่ถ้าเจอโค้งกว้างๆแบบไฮสปีด Forza 750 ก็จะเข้าโค้งได้นิ่งและมั่นคงกว่า Forza 350

 

ระบบกันสะเทือนและช่วงล่าง

การขี่แบบคนเดียว โดยรวมโช้คอัพหน้าหลังให้ความรู้สึกได้อย่างพอดี ช่วงยุบและรีบาว์ดของโช้คหน้า-หลัง ไม่นิ่มจนเกินไปและก็ไม่ได้แข็งจนสะท้าน เข้าได้ทุกโค้งผ่านทางขรุขระรวมทั้งหลุมขนาดเล็ก

 

เสียดายที่ไม่ได้ลองซ้อนสองคนพร้อมทั้งใส่สัมภาระ จะได้รู้ถึงลิมิตของช่วงล่างจริงๆ คงต้องรอทางไทยฮอนด้านำเข้ามาขายที่ประเทศไทย และนำรถมาทดสอบอีกครั้ง

ระบบเบรก

ขี่กันตั้งแต่ฟ้าสว่างยันฟ้ามืด (ในรูปอยู่คันสุดท้าย) จริงๆมืดแบบไม่เห็นทางด้วยซ้ำ บอกตามตรงว่าไม่ได้ลองใช้เบรกแบบหนักๆเลย เนื่องจากใช้เอ็นจิ้นเบรกจากเครื่องยนต์ช่วย และการเชนเกียร์ช่วยเป็นหลัก แต่เท่าที่เคยลองรุ่น X-ADV 750 ซึ่งใช้ชุดเบรกเหมือนกัน ก็ถือได้ว่าเพียงพอต่อการใช้งานจนถึงโหมดสปอร์ต ซึ่งแต่ถ้าใครต้องการระยะหยุดรถที่สั่นกว่านี้ ก็เปลี่ยนไปใส่เบรกแต่งเพิ่มเข้าไปตามต้องการ

บทสรุป Honda Forza 750

ช่วงระยะเวลาสั้นๆในการได้สัมผัสรถ Forza 750 ครั้งนี้ ถึงแม้จะยังไม่ได้ลองที่ระดับความเร็วสูง แต่ถนนหนทางที่ได้ทดสอบก็ถือว่าครอบคลุมสายทัวริ่งออกทริปอยู่เหมือนกัน สำหรับใครที่รอทางไทยฮอนด้านำเข้ามาจำหน่าย ด้วยรูปทรงตัวรถ เครื่องยนต์ระดับ 750 cc. รวมทั้งช่วงล่างและระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้มารับประกันได้ว่า “ไม่ผิดหวัง” อยู่ที่ราคาขายจะตรงใจ “คนซื้อ” หรือไม่เท่านั้นเอง!!

 

ข้อดี

  • ดีไซน์ดูสปอร์ตล้ำสมัยไปอีกหลายปี
  • เครื่องยนต์ให้แรงบิดได้ดี
  • ระบบอิเล็กทรอนิกส์และช่วงล่างดี

 

ข้อแนะนำ

  • รุ่นที่ขายเมืองนอกไม่มี “Heated Grip”
  • รอเปิดราคาขายในไทยอย่างเป็นทางการ
  • สเปคอาจจะมีเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

รุ่นรถและสี

ราคา 11,990 ยู​โร หรือประมาณ 456,000 บาท (ยังไม่รวมภาษี) (ราคาที่ประเทศอิตาลี)

  • ราคาวางจำหน่าย ณ เดือนพฤศจิกายน 2566

 

มีสีให้เลือกทั้งหมด 4 สี 

  • สีเงิน Mat Beta Silver Metallic
  • สีดำ Graphite Black
  • สีน้ำเงิน Mat Jeans Blue Metallic
  • สีแดง Candy Chromosphere Red
รีวิว All New Honda CBR500R 2019 แรงแบบต่อเนื่อง ดุดันสไตล์รถสปอร์ต | MOTOWISH 1

MotoWish ขอขอบคุณ

 

บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด

149 ถ.รถรางเก่า ต.สำโรงใต้ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ 10130 โทร. (02) 757-6111

 

 

ผู้ทดสอบ : @Rider 69

อ่านข่าว Reviews เพิ่มที่นี่

อ่านข่าว Honda เพิ่มที่นี่

อ่านข่าว Forza เพิ่มที่นี่


 

เรื่องราว ข่าวสองล้อที่สาวกไบค์เกอร์ต้องรู้ที่

Website : motowish.com 

Facebook : facebook.com/motowish

 

 



ห้ามคัดลอกบทความหรือเนื้อหาในเว็บ Motowish